วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Supersonic Jet

                   บทความนี้จะมีเกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเครื่องบินความเร็วเสียง ก่อนอื่นเลยผมจะอธิบายคำว่า "มัค (Mach)" 

มัค (Mach) มาจากชื่อของนาย Ernst Mach ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ ผู้ค้นพบ Shock Wave ในอากาศ" 
แล้วมันเกี่ยวข้องกับ "ความเร็ว" ยังไง? ทำไมความเร็วถึงต้องบอกเป็น มัค Mach คือจำนวนเท่าของความเร็วเสียง... 
แล้ว Shock Wave (ที่นายมัค ค้นพบ)กับความเร็วเสียง เกี่ยวข้องกันอย่างไร 
อธิบายง่ายๆได้ดังนี้.. เมื่อมีวัตถุวิ่งด้วยความเร็วเสียง (Mach = 1) จะทำให้เกิด Shock Wave ขึ้น ซึ่งช๊อคเวฟนี้ จะมีผลอย่างมากทางด้านการบิน เพราะว่าเมื่อเกิดช๊อค ลักษณะทางอากาศพลศาสตร์รอบๆเครื่องบินจะไม่เหมือนเดิม ในทางการบิน เรื่องของความเร็วจึงต้องคำนึงถึง "มัค" ด้วย นอกเหนือจากความเร็ว(กิโล/ชม., ไมล์ต่อชม., น๊อต) 
สรุป ง่ายๆเลยก็คือ 1มัคจะเท่ากับ ความเร็วเสียง

---------------------------------------------------------------------------------
10 อันดับอากาศยานที่เร็วที่สุด 

10.General Dynamics F-111 “Aardvark”



อันดับที่ 10 ได้แก่ General Dynamics F-111 “Aardvark” อเมริกันออกแบบ F-111 มาเป็นเครื่องบินขับไล่เชิงรุก ภารกิจหลักคือทิ้งระเบิด เป็นเครื่องบินที่ป้องกันตนเองในลักษณะต่อสู้ป้องกันตัวไม่ได้ คล้าย กับ F-117 นสงครามเวียดนาม สหรัฐฯ นำ F-111 มาประจำการที่ตาคลีและที่อุดร จำนวนหนึ่ง ไม่มี อักษร ระบุที่ตั้งเหมือนเครื่องบินอื่นๆ เพราะช่วงกลางสงครามเขานิยมใช้ F-105 หรือ B-52 ทำภารกิจเหล่านี้แทนนสงครามอ่าว F-111 ที่ได้รับการดัดแปลง(ไม่ใช่ซื้อใหม่) ให้เป็น บ.สงครามอิเล็กทรอนิกส์ ติดอุปกรณ์ต่อต้าน ก่อกวน ฯลฯ เพื่อบินเข้าไปค้นหาก่อกวนสถานีเรดาร์ข้าศึกก่อน เรียกว่า บ. EF-111 หรือ E/F-111 นอกจาก ทัพฟ้า สหรัฐฯ แล้วมีทัพฟ้าออสเตรเลีย ที่ยังคงใช้ F-111 อยู่ โดย F-111 ของจิงโจ้ ติดฮาร์พูน ไว้โจมตีเรือด้วย


9.MIG 31 Foxhound


อันดับที่ 9 ได้แก่ MIG 31 Foxhound Mig-31 Foxhound เป็นเครื่องบินรบ ที่ใช้ต่อสู้ในอากาศ สามารถปฎิบัติการได้ ทุกสภาพอากาศ ทุกความสูง เป็นเครื่องบินรบ แบบสองที่นั่ง ความเร็วเหนือเสียง ด้วยระบบ ดิจิตอล ที่ทันสมัย Mig-31 สร้างขึ้นโดย สำนักออกแบบ Mikoyan เพื่อใช้ต่อสู้กับเครื่องบินสอดแนม SR-71 และเครื่องบินทิ้งระเบิด B-1 ภาระกิจ ใช้ในการค้นหา ขัดขวาง ต่อต้าน และทำลาย จรวดที่ทำการยิงมาจาก เรือ เรือดำน้ำ เครื่องบิน หรือ จากภาคพื้นดิน ไปยังจุดเป้าหมายเฉพาะ ที่ต้องการ เครื่อง Mig-31 ได้ทำการ ออกแบบใหม่ จากเครื่องต้นแบบ คือเครื่อง Mig-25 Foxbat ปีกของเครื่อง เป็นแบบปีกสูง ติดตั้งอยู่ส่วนบนของลำตัว และลู่ไปทางด้านหลัง กระโดงหาง ตั้งเอียงออกด้านนอกลำตัว แพนหาง ลู่ไปข้างหลัง ติดตั้ง ความสูงประมาณ กลางลำตัว โครงสร้างลำตัวของ Mig-31 เป็นแบบโลหะ เกือบทั้งหมด เพียง 2% เท่านั้นที่สร้างด้วยวัสดุผสม composite material Mig-31 สามารถ ขัดขวาง เป้าหมาย ในอากาศ ในทุกสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือกลางคืน มันมีเครื่องยนต์ turbofan สองเครื่องยนต์อยู่ในลำตัว ที่มีทางเข้าของอากาศ มีลักษณะเป็น สี่เหลี่ยม ด้านหน้าตัดทะแยง ส่วนท่อไอเสียก็ยื่นเลยลำตัวส่วนหาง ออกไป Mig-31 ทำการบินครั้งแรก ในปี 1975 ด้วย เรดาร์แบบ Zaslonradar ซึ่ง เป็น ระบบการกวาดแบบ electronic ที่สามารถรับสัญญาณ แบบต่อเนื่องระยะไกล สามาถกวาดสัญญาณได้ไกลถึง 200 กิโลเมตร และสามารถจับได้ถึง 10 เป้าหมาย อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้ง สามารถปฎิบัติการได้ถึง 4 เป้าหมาย ในเวลาเดียวกัน เครื่อง Mig-31 เข้าประจำการได้เมื่อปี 1983 ระบบเรดาร์นี้ ยังสามารถ ตรวจจับและปฎิบัติการกับเป้าหมายที่อยู่ด้านหลัง และ ข้าศึกที่บินอยู่ที่ ความสูงต่ำกว่า หรือ ข้างใต้ ของ Mig-31 ภาระกิจ ของ computer ที่ใช้เป็นแบบ อัตโนมัติ ในการเลือกเป้าหมายที่ใช้ในการโจมตี ระบบจะเลือกเป้าหมายที่เป็นอันตราย มากที่สุด ระบบเรดาร์ของ Mig-31 ที่ทำให้ Mig-31 มีประสิทธิภาพ มากถึงขนาดนั้น และความประทับใจ นั้นคือ ระบบเรดาร์ของ Mig-31 คือถ้า Mig-31 สี่ลำ Link สัญญาณ digital data เข้าด้วยกัน ก็สามารถ จะครอบคลุม ระยะทาง ได้ถึง 900 ก.ม. ไปทางด้านหน้า Mig-31 เป็นเครื่องบินรบ รุ่นที่สาม ซึ่งแตกต่าง จากเครื่องต้นแบบ Mig-25 ซึ่งได้พัฒนาขึ้นมา ความแตกต่างที่สำคัญได้แก่ : ระบบฐาณล้อ, เพิ่มประสิทธิภาพ ของเครื่องยนต์ รวมถึง ทางเข้าของ อากาศ ที่ใหญ่ขึ้น และ ท่อไอเสีย ที่ยาวขึ้น เสริมความ แข็งแกร่ง ให้กับโครงสร้าง เพื่อให้สามารถ ทนต่อ ความเร็วเหนือเสียง ในระดับความสูงที่ต่ำ ใกล้พื้นดิน นอกจากนั้นยังมี ระบบเรดาร์ Zaslon phased-array เครื่องบิน Mig-31 อาจจะเป็นเครื่องบินรบที่หนักที่สุดในโลก ซึ่งน้ำหนักสูงสุดบินขึ้น ไม่น้อยกว่า 46,000 ก.ม. เครื่อง มีความสามารถ เพียง อากาศ-สู่-อากาศ Mig-31 Foxhound ถูก กำหนดให้ ทำหน้าที่ป้องกันทางอากาศ ให้กับประเทศของตัวเอง คือใช้เฉพาะรัซเซียเท่านั้น


8.F-15 Eagle



อันดับที่ 8 ได้แก่ F-15 Eagle F-15 อีเกิล เป็นเครื่องบินรบแบบผสม มีสถิติยอดเยี่ยมในการออกปฎิบัติ การ ซึ่งชนะทั้ง 100 เปอร์เซ็น และไม่สูญเสีย ให้ข้าศึกเลย (1 ส.ค. 2543) F-15 เคยทำศึกเวหาใน สงคราม พายุทะเลทราย และสงครามความขัดแย้งบอลข่าน F-15 มีประสิทธิภาพในการบินในเวลา กลางคืน และเวลาอากาศไม่ดี เพื่อโจมตีฐานยิงจรวด เคลื่อนที่สคัด และจุดสำคัญทางทหาร บน ภาคพื้นดิน. ระบบอินฟาเรดของ ลอคฮีดมาติน LANTIRN (Low Altitude Navigation and Targeting Infrared for Night) ช่วยให้ F-15E สามารถที่จะบินด้วยความเร็วสูง และระยะต่ำ ในเวลา กลางคืน และอากาศไม่ดี เพื่อโจมตีเป้าหมาย เพราะการชี้เป้าหมายที่แม่นยำของระบบนี้ ณ ปัจจุบัน มีเครื่องชนิดนี้ใช้งานอยู่ประมาณ 1150 เครื่องทั่วโลก เดิมเครื่องนี้บริษัท McDonnell douglas เป็นผู้สร้าง แต่ปัจจุบันบริษัท Boeing เป็นผู้สร้าง ส่วนประกอบต่างๆทางกายภาพและ กำลังของ เครื่องยนต์ ทำให้ F-15 สามารถบินได้เร็วถึง 2.5 เท่าความเร็วของเสียง ความร้อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากความเร็วนี้ทำให้โครงสร้างของเครื่องบิน ทำด้วย titanium เป็นจำนวนมาก และการที่เครื่อง F-15 ไม่เป็นที่กล่าวถึงมากนักเมื่อเทียบกับ F-16 ก็เป็นเพราะว่า ราคาที่ แตกต่างกัน ราคา F-15C ราคาประมาณเครื่องละ 35 ล้าน เหรียญ สหรัฐฯ F-16 ราคาประมาณ 42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ.




7.XB-70 Valkyrie


อันดับที่ 7 ได้แก่ XB-70 Valkyrie ผู้ออกแบบคือบริษัท North America มันสามารถ ทำเความเร็วได้ที่ Mach 3 ที่ระดับความสูง 70,000 ฟุต (21,000 เมตร) ซึ่งแทบจะเป้นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่บินเร็วที่สุด




6.Bell X-2 Starbuster



อันดับที่ 6 ได้แก่ Bell X-2 Starbuster เจ้านี้เกิดมาพร้อมกับประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้า แต่ก็คละคลุ้งกับความสำเร็จเช่นเดียวกัน ซึ่งผลิตโดยประเทศสหรัฐอเมริกาและเป็นโครงการวิจัยที่มีความสามารถในการข้ามความเร็ว ที่ มัค 3 ได้ ผู้ที่ทำการทดสอบเจ้านี้คือ Frank K. หรือ “Pete” เขาเป็นคนที่พิชิตเอเวอร์เลสได้ในปี 1955 และเขาสามารถทำความเร็วได้ที่ มัค 3 แต่มันก็เป็นความสำเร็จบนความเศร้า เพราะมันก็คร้าชีวิตเขาไปด้วยเช่นกัน




5.Mig-25 “Foxbat




อันดับที่ 5 ได้แก่ Mig-25 “Foxbat MIG-25 ถูกตั้งนามเรียกขานโดยนาโต้ว่า Foxbat เป็นเครื่อง          บินรบที่สามารถทำหน้าที่ได้ 3 ภาระกิจ คือการ ขับไล่สกัดกั้น ทิ้งระเบิด และ ตรวจการณ์ ถูกออกแบบและสร้างโดยบริษัท Mikoyan-Gurevich แห่งสภาพโซเวียต ต้นแบบได้ทำการบินครั้งแรกในปี 1964 ด้วยความเร็วสูงสุด 3.2 มัค ทำให้มันทรงพลังเกินกว่าที่ เครื่องบินขับไล่ใดๆในยุคนั้นของ กองทัพสหรัฐจะไล่ตามได้ทัน ส่งผลให้เกิดการสร้าง F-15 Eagle ขึ้น ความสามารถที่แท้จริงของมันไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อฝ่ายโลกเสรี จนกระทั่งปี 1976 นาย วิคเตอร์ เบเลนโค นักบิน MIG-25 ของสหภาพโซเวียต(เป็นอะไรกับ วิคเตอร์ บูธ เปล่าฟะ....) ถูกตรวจจับโดยกองทัพอากาศสหรัฐผ่านทางญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายโลกเสรีได้ทำการ 'ชำแหละ' MIG-25 ลำดังกล่าวหลังลงจอดที่ฐานทัพอากาศญี่ปุ่นโครงสร้างของ MIG-25 ถูกสร้างด้วยไทเทเนี่ยมเพื่อให้มันทนความร้อนในความเร็วสูงได้ เช่นเดียวกันกับ SR-71 MIG-25 ถูกสร้างขึ้นทั้งหมด 1,190 เครื่อง ปัจจุบันถูกปลดประจำการ เพราะปัญหาด้านความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยในปัจจุบัน รัสเซียพัฒนา MIG-25 ขึ้นเป็น MIG-31 Foxhound ที่มีเกราะที่หนาขึ้น แต่ความเร็วลดลง และยังคงประจำการในกองทัพต่มาจนถึงปัจจุบัน...

                           4.SR-71 BlackBird

อันดับที่ 4 ได้แก่ SR-71 BlackBird SR-71 มีนามเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการว่า Blackbird ตามตัวเครื่องที่เป็นสีดำทั้งตัว ถูกสร้างโดยบริษัท Lockheed ทำการบินทดสอบครั้งแรกในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1962 ในทะเลทรายเนวาดา SR-71 รับใช้กองทัพสหรัฐและองค์กรนาซ่า ในภารกิจบินตรวจการณ์เหนือน่านฟ้าสหภาพโซเวียต เพื่อทำหน้าที่แทนเครื่องบินตรวจการณ์แบบ U-2 ซึ่งล้าสมัย โดยได้รับการพัฒนาต่อจากเครื่องบินทดสอบ 2 รูปแบบคือ A-12 และ YF-12A เจ้า SR-71 เป็นเครื่องบินที่ได้ชื่อว่าบินได้เร็วที่สุดในโลก เพราะมันสามารถบินขึ้นไปเกือบจะถึงอวกาศและบินด้วยความเร็วสูงกว่า 3.2 เท่าความเร็วสูง เพื่อบินผ่านน่านฟ้าโซเวียตได้อย่างเนียนๆSR-71 ใช้เชื้อเพลิงพิเศษแบบ JP-7 บันทึกขึ้นไปกับตัวเครื่อง 20 ตัน เพื่อให้มันสามารถบินได้เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น!!?? โครงสร้างของมันถูกสร้างด้วย ไทเทเนี่ยม และโลหะผสมไทเทเนี่ยม เพื่อให้ทนความร้อนในขณะบินที่ความเร็วเกิน 3 มัค โดยขณะที่บินด้วยความเร็ว 3 มัค ลำตัวเครื่องจะขยายตัวและยาวขึ้นอีกหลายนิ้ว จุดที่พบข้อเสียคือ SR-71 นั้น ถังน้ำมันของ SR-71 จะรั่วอยู่ตลอดเวลาเมื่อจอดอยู่บนพื้น แต่เมื่อบินด้วยความเร็วสูงสุด น้ำมันที่รั่วออกมาจะหยุดไหล ทำให้มันเป็นเครื่องบินที่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ในอเมริกาในตอนนั้น แร่ไทเทเนี่ยมมีไม่พอสำหรับใช้ในการสร้าง SR-71 จึงจำเป็นต้องให้ CIA เป็นตัวกลางในการซื้อขายแร่ของสหภาพโซเวียต เพื่อนำมาใช้สร้าง SR-71 แต่ถึงผิวด้านนอกของมันจะเคลือบด้วยสารดูดกลืนการสะท้อนเรด้าห์ แต่ SR-71 กลับกลายเป็นเครื่องบินที่เป็นเป้าขนาดใหญ่ที่สุดบนเรด้าห์ศัตรู เนื่องจากความร้อนที่ออกมาจากสันดาปท้ายของ SR-71 ทำให้สามารถจับเป้าได้หลายร้อยไมล์เลยทีเดียว.. SR-71 ถูกสร้างขึ้นทั้งหมด 12 ลำ โดยใช้แค่ในกองทัพอากาศสหรัฐและในองค์กรนาซ่าเท่านั้น ก่อนที่จะถูกปลดประจำการเพราะค่าบำรุงรักษาและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่สูงเกินไป

3.X-15

อันดับที่ 3 ได้แก่ X-15 นอร์ท อเมริกัน X-15 ซึ่งเป็นเครื่องบินวิจัยการบินด้วยความเร็วเหนือเสียงระดับสูง (Hypersonic) บินได้เร็ว 6.5 มัค ซึ่งถือเป็นความเร็วสูงสุดที่เครื่องบินที่มีมนุษย์ ควบคุมทำได้ที่เร็วกว่านั้นจะเป้นบังคับจากภาคพื้นดินทั้งหมด

2.X-43A

อันดับที่ 2 ได้แก่ X-43A บินเครื่องบินไอพ่น X-43A ซึ่งเป็น supersonic combustion ramjet (scramjet) ด้วยความเร็วมากกว่าเสียงถึงเกือบสิบเท่า หรือประมาณ 11,000 km/h ถือเป็นการทำลายสถิติที่เคยสร้างไว้ ที่ mach 6.83 หรือเร็วกว่าเสียงเกือบเจ็ดเท่า ต้นปีที่ผ่านมา เครื่องบิน X-43A ซึ่งเป็น supersonic combustion ramjet (scramjet) ที่ไม่มีนักบินบังคับนี้ มีขนาด 3.7เมตร และเคยทำสถิติการบินไว้ ที่ mach 6.83 หรือเร็วกว่าเสียงเกือบเจ็ดเท่า ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมันสามารถบินโดยใช้เชื้อเพลิงของตัวเองประมาณ 20วินาที เครื่องยนต์ ramjet จะต่างจากเครื่องบินไอพ่นทั่วไป คือแทนที่จะใช้ใบพัด มันกลับใช้ความเร็วของมันเองในการส่งอากาศเข้าไปในเครื่อง ให้ออกซีเจนได้ทำปฏิกิริยากับเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และในเครื่อง scramjet หรือในกรณีของ X-43A การเผาไหม้เชื้อเพลิงจะเกิดขึ้นเมื่ออากาศถูกดูดเข้าไปด้วยความเร็วกว่าเสียงเท่านั้น หมายความว่า เครื่องจะเริ่มทำงานที่ความเร็ว Mach4 ซึ่งทำให้การทดลองบินจากพื้นแบบปกติเป็นไปไม่ได้

1.Space Shuttle





อันดับที่ 1 ได้แก่ Space Shuttle คงไม่ต้องสงสัยกันเลยทีเดียว อันดับที่ 1 ก็ต้องตกเป็นขอเจ้า Space Shuttle หรือ "กระสวยอวกาศ" นั้นเอง เพราะต้องการความเร็วมากมายเพื่อที่จะทะลุออกไปชั้นบรรยกกาศได้ ซึ่งต้องมีความเร็วมากกว่า 20 มัค (1 มัคเท่ากับความเร็วเสียง) แต่ที่น่าตกใจกว่าคือความเร็วตอนกลับโลกครับ เวลาจะจะกลับลงมาสู่บรรยากาศโลกจะใช้ความเร็วในอัตรา 15,900 ไมล์ต่อชั่วโมง (หรือประมาณ 25,700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)


ส่วนใหญ่อากาศยานความเร็วสูงจะใช้ในการสำรวจและสงคราม เนื่องจากทงการขนส่งเชิงพาณิย์ การใช้อากาศยานความเร็วสูงยังมีความเสี่ยงและต้นทุนที่สูอยู่ครับ


-----------------------------------------------------------


เครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียง



เครื่องบินตูโปเลฟ ตู-144(Tupolev Tu-144)
ตูโปเลฟ ตู-144 (อังกฤษTupolev Tu-144) เป็นเครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียงแบบแรกของโลก เครื่องต้นแบบ ตู-144 เครื่องต้นแบบบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1968 และปรากฏต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรก ที่อากาศยานเชเรเม็ทเยโวในกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1970 ในงานแสดงการบินที่ปารีสในปี ค.ศ. 1973 ตู-144 หมายเลข 2 ซึ่งเป็นเครื่องบินต้นแบบ ได้เกิดระเบิดต่อหน้าผู้ชมกว่า 30,000 คน ทำให้พัฒนาช้าลงไปอีกหลายปี ตู-144 เริ่มรับผู้โดยสารเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1977 และเป็นคูแข่งข้นของเจ๊ตโดยสารคองคอร์ด ซึ่ง ตู-144 มีขนาดใหญ่กว่าคองคอร์ดและเร็วกว่าและได้บินเป็นครั้งแรกก่อนคองคอร์ด 2 เดือน แต่รับผู้โดยสารช้ากว่าคองคอร์ต 21 เดือน
ตูโปเลฟ ตู-144 มีข้อจำกัดในการออกแบบด้านพลศาสตร์ ซึ่งส่วนหัวของเครื่องบินจะต้องเชิดขึ้น ส่งผลให้ทัศนวิสัยของนักบินไม่ดี ผู้ออกแบบได้แก้ไขโดยเพิ่มกลไกปรับส่วนหัวของเครื่องบิน ให้กดลงมา เพื่อให้นักบินมองเห็นสนามบินขณะเครื่องบินขึ้น ลงจอด และขณะอยู่บนแทกซี่เวย์ และ ตู-144 ต้องใช้ร่มชูชีพช่วยลดความเร็วในการลงจอด





เครื่องบินคองคอร์ด(Concorde)

เครื่องบินคองคอร์ด (อังกฤษConcorde) เป็นเครื่องบินขนส่งชนิดมีความเร็วเหนือเสียง เป็นหนึ่งในสองแบบของเครื่องบินเหนือเสียงที่ใช้เป็นเครื่องบินโดยสาร และนำมาให้บริการในเชิงพาณิชย์ โดยใช้เวลาศึกษาวิจัยเป็นเวลา 7 ปี เครื่องคองคอร์ดต้นแบบเครื่องแรกบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1969 ทดสอบและพัฒนาอีก 4 ปี โดยคองคอร์ดเครื่องแรกออกจากสายการผลิตและเริ่มบินทดสอบเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1973 รวมตั้งแต่เริ่มโครงการจนนำมาผลิตใช้เวลากว่า 13 ปีเต็มใช้เงินในการพัฒนากว่า 1,000 ล้านปอนด์ 
เครื่องบินคองคอร์ดมีความเร็วปกติที่ มัค 2.02 และเพดานบินสูงสุด 60,000 ฟุต (18,288 เมตร) มีปีกสามเหลี่ยม และเป็นวิวัฒนาการจากเครื่องบิน Afterburner ที่เดิมนั้นพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในเครื่องบินทิ้งระเบิด Avro Vulcan นับเป็นเครื่องบินพลเรือนแบบแรกที่ติดระบบควบคุมการบินอะนาลอกแบบฟลายบายไวร์ (fly-by-wire)
การบินเชิงพาณิชย์ของคองคอร์ด ดำเนินการโดยบริติชแอร์เวย์ (British Airways) และแอร์ฟรานซ์ (Air France) เริ่มต้นเมื่อวันที่ 21 มกราคมค.ศ. 1976 และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2003 และมีเที่ยวบิน “เกษียณอายุ” เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 เที่ยวบินลอนดอน-นิวยอร์ก และปารีส-นิวยอร์ก ใช้เวลาเดินทางเฉลี่ยประมาณ 3.5 ชั่วโมง
เครื่องบินคองคอร์ด และเครื่องบินคู่แข่ง คือ ตูโปเลฟ ตู-144 มีข้อจำกัดในการออกแบบด้านพลศาสตร์ ซึ่งส่วนหัวของเครื่องบินจะต้องเชิดขึ้น ส่งผลให้ทัศนวิสัยของนักบินไม่ดี ผู้ออกแบบได้แก้ไขโดยเพิ่มกลไกปรับส่วนหัวของเครื่องบิน ให้กดลงมา เพื่อให้นักบินมองเห็นสนามบินขณะเครื่องบินขึ้น ลงจอด และขณะอยู่บนแทกซี่เวย์ ส่วนหัวของคองคอร์ดปรับทำมุมกดได้ 12.5°
ที่ผ่านมาเครื่องบินคองคอร์ด มีทั้งสิ้น 20 ลำ เป็นเครื่องที่ใช้ในการพัฒนา 6 ลำ ใช้งานเชิงพาณิชย์ 14 ลำ ตก 1 ลำ

_____________________________________________________________________________________


ความคืบหน้าของเคื่องบินขนส่งวามเร็วเสียง
เครื่องบินโดยสารเหนือเสียงรุ่นใหม่ มีชื่อว่า "ไอพ่นธุรกิจความเร็วเหนือเสียงแอริออน" จุผู้โดยสาร 12 คน บินได้เร็วถึง 1.5 เท่าความเร็วเสียง ได้ไกล 6,437 กม. ขณะนี้กำลังทดสอบส่วนประกอบที่สำคัญของเครื่องอยู่ในอุโมงค์ลมขององค์การอวกาศสหรัฐฯ   และใต้ท้องเครื่องบินขับไล่ไอพ่นเหนือเสียงเอฟ-15 โดย บริษัทผู้สร้างที่รัฐเนวาดา ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะให้บินระหว่างกรุงปารีสกับนิวยอร์ก ในเวลาเพียง 4 ชม. 14 นาทีเร็วกว่านั่งเครื่องบินโดยสารธรรมดา 3 ชม.วารสาร "วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต" รายงานว่า ขณะนี้ยังมีบริษัทเครื่องบินอีกไม่ต่ำกว่า 2 รายที่กำลังแข่งกันสร้างเครื่องบินโดยสารไอพ่นความเร็วเหนือเสียงอยู่.







ขอขอบคุณข้อมูลต่างๆของเครื่องบินควาเร็วเสียงจาก http://th.wikipedia.org/  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ http://atcloud.com/stories/12489  และ  http://www.toptenthailand.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น